สิว
ประเภทของสิว
1.สิวหัวดำ (Blackhead or Open comedones)
สิวชนิดนี้จะเห็นเป็นตุ่มสีดำเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.1-3.0 ซม. เมื่อมีขนาดใหญ่จะเห็นได้ชัด ถ้ากดหรือบีบออกมาจะมีลักษณะคล้ายตัวหนอนสีขาวอมเทาเป็นมันตรงส่วนปลายจะมีสีดำ ซึ่งเป็นสีของเมลานิน
2.สิวหัวขาว (Whitehead or Closed comedones)
สิวชนิดนี้จะเป็นตุ่มขาวเล็กๆ มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.1-3.0 ซม.เกิดจากการที่มีสารที่เรียกว่า เคอราติน (Keratin) สะสมอยู่บริเวณใกล้ๆรูขุมขนถ้าปล่อยทิ้งไว้มักจะมีการอักเสบต่อไปได้
3.สิวอักเสบ (Imflammatory acne) มี 2 แบบ คือ
3.1 ชนิดตุ่มนูนแข็งแดง มีหลายขนาด ถ้ามีขนาดใหญ่จะหายช้าและถ้าหายแล้วอาจมีรอยดำหรือบุ๋มเป็นรอยแผลเป็นได้
3.2 ชนิดตุ่มหนอง เกิดจากากรติดเชื้อ เช่น แบคทีเรียบางชนิด สิวชนิดนี้มีหลายขนาด ถ้ามีขนาดใหญ่มากและลึก เรียกว่าเป็นซีส์ (Cystic acne) ภายในจะมีหนองหรือสารเหลวๆ คล้ายเนย เมื่อหายแล้วมักจะเป็นรอยแผลเป็น
โครงสร้างของรูขุมขนและต่อมไขมัน
ต่อมไขมันที่ผิวหน้าจะอยู่รวมกับขุมขน และขับไขมันออกมาทางรูขุมขน ต่อมไขมันมัหน้าที่ผลิตไขมัน (Sebum) บริเวณที่มีต่อมไขมันมาก คือบริเวณใบหน้าโดยเฉพาะหน้าผาก หนังศรีษะ กลางหลัง
สิวเกิดขึ้นได้อย่างไร
1.เชื้อโรค
สิวเป็นโรคติดเชื้อทางผิวหนังชนิดหนึ่ง เชื้อโรคนั้นก็คือ P.acnes หรือ Propionibacterium acnes โดยจะอาศัยอยู่ที่ต่อมไขมันและจะย่อยไขมันให้กลายเป็นสารที่เรียกว่า free fatty acid และสารอีกหลายชนิด ซึ่งสารเหล่านี้จะก่อให้เกิดปฏิกิริยาการอักเสบ กลายเป็นสิวเกิดขึ้น
แต่จากศึกษาพบว่า ปริมาณของเชื้อโรคไม่ได้สัมพันธ์กับความรุนแรงของสิว ฉะนั้นคนทีมีเชื้อโรคมากอาจจะเป็นสิวที่ไม่รุนแรงก็ได้
2.ฮอร์โมน
ฮอร์โมนที่เชื่อว่าทำให้เกิดสิว คือ ฮอร์โมนที่ชื่อว่า Testosterone โดยฮอร์โมนชนิดนี้จะถูกเปลี่ยนเป็นสารฃนิดหนึ่งที่ชื่อว่า Dihydrotestosterone ในเนื้อเยื่อและไปกระตุ้นที่ต่อมไขมันทำให้ต่อมไขมันมีขนาดใหญ่ขึ้นและผลิตไขมันออกมามากขึ้น สารบางชนิดที่เป็นส่วนประกอบของไขมัน free fatty acid, squalene และ squalene oxide จะทำให้เกิดการอักเสบที่ผิวหนังขึ้นได้
3.การอุดตันที่ต่อมไขมัน ต่อมไขมันสร้างไขมันที่เรียกว่า sebum เพิ่มมากขึ้นทำให้เกิดการอุดตันภายในรูขุมขนเกิดการอักเสบและกลายเป็นสิวได้ สิวเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุร่วมกันมีปัจจัยต่างๆ หลายอย่างที่อาจส่งเสริมทำให้เกิดเป็นสิวได้
ปัจจัยเสริมที่ทำให้เกิดสิว
1.กรรมพันธุ์
แม้ไม่มีข้อพิสูจน์ที่แน่ชัด แต่กรรมพันธุ์น่าจะมีส่วนที่ทำให้เกิดสิวด้วย คนที่มีพ่อแม่ที่เป็นสิว ลูกก็มักเป็นสิวด้วย โดยเฉพาะฝาแฝดไข่ใบเดียวกันจะเป็นสิวเหมือนกันถึงร้อยละ 97.9 %
2.เครื่องสำอาง
เครื่องสำอางมีบทบาทในชิวิตประจำวันมากไม่ว่าจะเป็น สบู่ , ครีมทาผิว , ครีมกันแดด , น้ำมันใส่ผม , แป้ง ฯลฯ มีโอกาสทำให้เกิดสิวได้ เรียกว่า Cosmetic Acnes โดยเฉพาะเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารเหล่านี้ เช่น Olive oil ,White petrotalum ,Lanolin สบู่ที่มีส่วนผสมของ Tar ,Sulfers หรือ ครีมรองพื้นที่มีส่วนผสมของน้ำมันพืชบางชนิด Lauryl alcohol ,Butylesterate ,Oleic acid ฯลฯ
3.ยา
ยาบางชนิดมีส่วนทำให้เกิดสิวหรือทำให้สิวเห่อขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นยาชนิดรับประทาน หรือเป็นชนิดทา ยาบางชนิดก่อให้เกิดสิวเฉพาะบางคนเท่านั้น แต่มีอีกหลายชนิดที่ทำให้เกิดสิวแน่นอน หากได้รับในปริมาณที่มาก หรือระยะเวลานานๆ ตารางแสดงตัวอย่างยาที่ทำให้เกิดสิว
ยาฮอร์โมนหรือเสตียรอยด์ (Hormone and Steroid) |
Gonadotropins Androgen Anabolic steroid Corticosteroid |
ยาต้านวัณโรค (Antituberculous drugs) |
Isoniasid Rifampicin |
ยากันชัก (Epileptic drugs) |
Dilantin Phenobarbitone |
ยาธัยรอยด์ (Thyroid drugs) |
Thiourea Thiouracil |
ยาพวกฮาโลเจน (Halogen) |
Bromides Iodides Halothanes |
ยาอื่นๆ (Miscelleneous) |
Choral hydrate Cyanocobalamin Lithum Vitamin B12 Quinine PUVA |
4.ภาวะมีประจำเดือน
ผู้หญิงที่เป็นสิว มีบางส่วนประมาณ 60-70% ที่มักจะมีสิวเห่อมากในช่วง 1 สัปดาห์ก่องมีประจำเดือน เนื่องจากฮอร์โมนที่มีชื่อว่า ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ที่จะหลั่งออกมามากในช่วงนั้น ทำให้รูขุมขนมีการเปลี่ยนแปลง คือ บวมมากขึ้น เนื่องจากมีการคั่งของน้ำในเซลล์ผิวหนังมากขึ้น ทำให้เกิดไขมันอุดตันที่รูขุมขน จึงทำให้มีสิวเห่อขึ้นได้
5.ความเครียด
ยังไม่มีข้อพิสูจน์แน่ชัดว่าความเครียดทำให้เกิดสิวหรือทำให้สิวเห่อมากขึ้น แต่จะสังเกตได้ว่านักศึกษาที่ใกล้สอบ คนที่ทำงานหนัก หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ มักจะมีสิวเห่อมากขึ้น
6.อาชีพ
มีหลายอาชีพที่ต้องสัมผัสกับสารเคมีหรือสารพิษ เช่น คนที่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม เครื่องจักรกล โรงกลั่นน้ำมัน เช่น สารพวก Parafiins mixtures ,Crude petrolatum ,น้ำมันดิน (Coal tar) ,Chlorinated hydrocarbon หรือ สารพิษเช่น DDT ,Asbestos ฯลฯ สารต่างๆเหล่านี้มีส่วนทำให้เกิดสิวได้
7.สิ่งแวดล้อม
การทำงานในที่มีฝุ่นละอองมาก อากาศร้อนอบอ้าว มีเหงื่อออกมาก ทำให้เกิดการบวมของท่อไขมัน เกิดการอุดตันของสิ่งสกปรกหรือเชื้อโรคที่ปะปนมากับอากาศ ทำให้เกิดสิวได้
8.อาหาร
แต่ก่อนมักมีความเชื่อว่าการรับประทานอาหารบางชนิดที่มีไขมันมาก เช่น เนย ช๊อคโกแล็ต มักจะทำให้เกิดสิว ความจริงแล้วอาหารไม่มีส่วนที่ทำให้เกิดสิวเลย
ถึงแม้สิวจะเป็นโรคที่ไม่รุนแรงเป็นอันตรายถึงชิวิต แต่สิวก็ทำให้หมดสวย หมดหล่อ ได้เหมือนกัน คนที่เป็นสิวมักจะกังวล กลุ้มใจ หรือ ขาดความมั่นใจในการพบปะผู้คนและทำให้เสียบุคคลิก บางคนชอบแกะเกา หรือ บีบสิวเป็นประจำ ทำให้เกิดการอักเสบมากขึ้นและเกิดแผลเป็น รอยด่างดำหรือรอยบุ๋มได้ ดังนั้นหากเป็นสิวแล้วไม่ดูแลรักษาอย่างถูกวิธี ปล่อยปละละเลยจะทำให้สิวเห่อมากขึ้น เกิดแผลเป็นแล้ว การรักษาแผลเป็นที่เกิดจากสิวนั้นก็ยากกว่าการรักษาสิวที่หายแล้วเสียอีก และยิ่งไปกว่านั้นการรักษาแผลเป็นที่เกิดจากสิว โดยเฉพาะรอยบุ๋มนั้นสามารถทำให้หายไปโดยสิ้นเชิงได้ เพียงแต่ทำให้ดีขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น การรักษาก็ยุ่งยาก เสียค่าใช้จ่ายมาก และต้องใช้เวลานาน เพราะฉะนั้น อย่ามองข้าม ถ้าเป็นแล้วรีบรักษาให้หายโดยเร็ว จะได้ไม่เกิดรอยแผลเป็น ให้กลุ้มใจไปอีกนาน
สิวมักจะเกิดในเด็กวัยรุ่นและหนุ่มสาวในวัยทำงาน เนื่องจากมีปัจจัยส่งเสริมหลายๆด้าน ที่ทำให้เกิดสิว เช่นเริ่มมีฮอร์โมนเพศหลั่งมากขึ้น ,เริ่มมีประจำเดือน ,ใกล้สอบ ,เริ่มใช้เครื่องสำอางมากขึ้น ,เริ่มทำงานมีความเครียดเพิ่มขึ้น ปัจจัต่างๆเหล่านี้มีส่วนที่ทำให้เกิดสิวหรือสิวเห่อมากขึ้น ดังนั้นจะสังเกตได้ว่า มักไม่ค่อยเห็นสิวในคนที่อายุมากประมาณ 40-50 ปีขึ้นไป เนื่องจากปัจจัยต่างๆที่ทำให้เกิดสิวนั้น ลดลงนั่นเอง
สิวเกิดขึ้นได้ก็หายได้ ไม่ได้หมายความว่าเป็นสิวแล้วรักษาให้หายขาดไม่ได้ แต่โดยธรรมชาติของสิวแล้ว มักจะยุบๆ โผล่ๆ อยู่เรื่อยๆ กว่าจะหายราบคาบ ก็มักจะต้องรักษาเป็นเวลาหลายเดือน ดังนั้นหากคุณเป็นคนใจร้อน รักษาเพียงแค่ 1-2 สัปดาห์แล้วก็เลิกล้มความตั้งใจไม่รักษาต่อเนื่อง สิวก็จะเกิดขึ้นใหม่อีกเรื่อยๆไป
การดูแลรักษาสิวต้องทำอย่างถูกต้องและต่อเนื่องมิฉะนั้นหากทำให้สิวเกิดขึ้นบ่อยๆอักเสบอยู่นานก็จะเกิดผลเสียตามมา เช่นเป็นหนองลุกลามมากขึ้นที่เรียกว่า เป็น ซีส์ (Cystic acne) สิวชนิดนี้จะมีขนาดใหญ่และหายยาก มักมีอาการปวดร่วมด้วย เมื่อหายแล้วมักมีร่องรอยเหลืออยู่ เช่น รอยด่างดำ รอยบุ๋ม หรือแผลเป็นนูน (Keloid)
โดยทั่วไปหากรักษาอย่างถูกต้องและถูกวิธี โดยปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและทำการรักษาอย่างต่อเนื่อง สิวจะเริ่มเห็นผลดีขึ้นบ้างอย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ เมื่อรักษาครบประมาณ 2 เดือน จะดีขึ้นประมาณ 40-50% และหากรักษาต่อเนื่อง 4-6 เดือน สิวก็มักจะหายประมาณ 60-80% หรือมากกว่านั้น
หลักการง่ายๆของการรักษาสิว คือรักษาสิวที่เป็นอยู่ให้หายโดยเร็วที่สุด และป้องกันไม่ให้สิวใหม่เกิดขึ้นอีก
วิธีการรักษาสิว
1.การดูแลรักษาผิวหน้า
– ล้างหน้าให้สะอาด
– ห้าม บีบ แคะ แกะ เกา สิว
– พยายามใช้เครื่องสำอางให้น้อยที่สุด
– หลีกเลี่ยงการตากแดด เป็นเวลานานๆ
– ไม่สวมเส้อผ้าแน่นหรือคับมากเกินไป
2.การรับประทานยา
ยารักษาสิวมีหลายชนิด เช่น
2.1 ยาปฏิชีวนะ รับประทานเพื่อฆ่าเชื้อ P.acnes ที่ทำให้เกิดสิวและลดจำนวนเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง มีหลายชนิดเช่น
– Tetracycline
– Monocycline
– Climdamycin
– Trimetroprim-Sulfa-Methozazole
– Ampicillin
2.2 ยาฮอร์โมน เช่น
– ยา Estrogen มีฤทธิ์ในการลดการสร้างไขมันของต่อมไขมัน ใช้ในการักษาสิวสำหรับผู้หญิง
– ยา Cyproterone acetate มีฤทธิ์ต่อต้านการสร้างฮอร์โมน Androgen ใช้ในการรักษาสิวสำหรับผู้หญิง
– ยา Steroid ช่วยลดการอักเสบ กรณีที่มีอาการรุนแรง แต่ใช้รับประทานในระยะสั้นๆ เนื่องจากถ้าใช้ยานี้เป็นระยะเวลานานๆจะทำให้เกิดสิวได้
2.3 Isotretinoin (13-cls-retinoic acid)
ยานี้มีฤทธิ์ลดการสร้างไขมันจากต่อมไขมัน และลดการอักเสบ รวมทั้งอาจจะมีผลต่อการสร้าง keratin ที่ผิดปกติในรูขุมขน ยานี้มีราคาค่อนข้างแพงและมีผลข้างเคียงมาก เช่นผิวแห้ง ปากแห้ง ฝ่ามือ ฝ่าเท้าลอก ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ ปวดศรีษะ คลื่นไส้ อาเจียน ผมร่วง ฯลฯ และห้ามใช้ในหญิงมีครรภ์อย่างเด็ดขาด เพราะจะทำให้เกิดความพิการของทารกในครรภ์ได้ ดังนั้นเนื่องจากยานี้มีผลข้างเคียงค่อนข้างมาก จึงใช้เฉพาะในกรณีที่มีสิวอักเสบ และรุนแรงมาก หรือสิวในคนที่รับประทานยาปฏิชีวนะแล้วไม่ดีขึ้น
3.การใช้ยาทา
การใช้ยาทาเพื่อรักษาสิว แบ่งออกได้ดังนี้
ยาที่มีฤทธิ์ในการกำจัดหัวสิว ยาออกฤทธิ์โดยการทำให้หัวสิวหลุดออกง่ายขึ้นและยับยั้งการเกิดสิวใหม่
3.1Tretinoin (Vit.A Acid) มีหลายความเข้มข้น ยานี้ออกฤทธิ์ทำให้เกิดการหลุดลอกของสิว ป้องกันการเกิดสิวใหม่ แต่ไม่มีผลต่อการฆ่าเชื้อ P.acnes ยานี้อาจมีผลข้างเคียงทำให้เกิดการระคายเคือง แสบ ผิวลอก อาการแดงเวลาถูกแดดได้ ดังนั้นเวลาใช้ควรทาทั่วใบหน้า ยกเว้นบริเวณรอบตา หางตา ซอกจมูก รอบริมฝีปาก และควรทายากันแดด ร่วมด้วยเพื่อป้องกันอาการหน้าแดง
3.2 Benzoyl peroxide มีหลายความเข้มข้น ยานี้ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อ P.acnes ลดการอักเสบ และลดปริมาณไขมันที่ผิวหนัง ยานี้ในบางคนอาจเกิดผลข้างเคียงทำให้เกิดการระคายเคือง แสบ ผิวลอกเป็นขุย
3.3 Clindamycin solution ยานี้ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อ P.acnes
3.4 ยาอื่นๆ ออกฤทธิ์หลายๆอย่างร่วมกัน เช่น 20% Azelaic acid ,Sulfur ,Salicylic acid (BHA) ที่ผสมในสบู่หรือครีมรักษาสิวต่างอาจใช้ร่วมกับยาทาชนิดอื่นๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษามากขึ้น
ข้อแนะนำในการใช้ยาทารักษาสิว
1. ควรทายาทั่วบริเวณที่เป็นสิวและบริเวณอื่นๆที่ไม่มีสิวด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้มีสิวใหม่เกิดขึ้นอีก
2. ยาทาสิวบางชนิด ทาแล้วอาจทำให้ผิวหนังแดง มีขุย หรือ ลอกบริเวณที่ทาได้ ถ้าอาการนี้เป็นมากก็ควรหยุดใช้ยาประมาณ 1-2 วัน หลังจากอากการหายแล้ว จึงควรทายาเฉพาะที่ และอาจใช้วันเว้นวันแทน
3. ยาสิวบางชนิดต้องทาเวลาต่างกัน ทั้งนี้เนื่องจากหากทายาร่วมกันจะทำให้ยาทั้งสองชนิด ที่มีฤทธิ์ต้านกัน ถูกทำลายฤทธิ์ไป
4. ยาสิวบางชนิด ทาได้แต่เฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้น ถ้ายาถูกแสงแดดจะออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มที่
5. ขณะทายารักษาสิว ควรหลีกเลี่ยงแสงแดด ให้มากที่สุด เพราะยาอาจทำให้ผิวไวติอแสงแดดมากขึ้น จึงทำให้หน้าแดงง่าย และควรทายากันแดดในตอนเช้าและตอนกลางวันเป็นประจำทุกวัน
6. ควรทายาสิวหลังล้างหน้าทันที เพราะผิวหนังที่สะอาด จะช่วยทำให้ยาซึมผ่านผิวหนังได้ดี
7. ควรทาเคร่องสำอางหลังจากทายาสิวแล้ว และพยายามใช้เครื่องสำอางให้น้อยที่สุด เพราะการทาเครื่องสำอางมากจนหนา จะทำให้ยาออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มที่ และเครื่องสำอางบางชนิดอาจเป็นสาเหตุทำให้สิวเห่อมากยิ่งขึ้น จึงควรเลือกใช้เครื่องสำอางที่เป็นแบบ water based cosmetic ชนิดที่ไม่เป็นมัน ล้างน้ำออกได้ง่ายหรือเลิกใช้เครื่องสำอางชั่วคราวในระหว่างที่รักษาสิว
8. ในระหว่างที่รักษาสิว หากจำเป็นต้องรับประทานยาบางชนิด เช่น ยาเม็ดคุมกำเนิด ยารักษาโรคที่อาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดสิวได้ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบด้วยเพื่อหลีกเลี่ยงไปใช้ยาตัวอื่นแทน
การใช้เครื่องมือรักษาสิว
เป็นเครื่องมือที่เรียกว่า Comedo Extractor ใช้กดที่สิวเพื่อให้หัวสิวหลุดออก ทำให้สิวยุบเร็วขึ้น ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการอักเสบเป็นตุ่มสิวต่อไป แต่ต้องเลือกกดเฉพาะสิวที่มีหัวเท่านั้น วิธีการนี้ควรทำโดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะการกดสิวบางชนิดจะกดออกยากต้องใช้เข็มเจาะนำก่อนและต้องใช้เครื่องมือที่สะอาดเพื่อป้องกันการติดเชื้อ การใช้มือเค้นหรือบีบสิวอาจทำให้เนื้อเยื่อบริเวณรอบๆสิวเกิดการช้ำ หรืออักเสบมากขึ้นได้
เครื่องมืออื่นๆ ที่ใช้ในการรักษาสิว
1. High Frequency Current
เป็นเครื่องมือชนิดที่เป็นหลอดแก้ว ภายในเป็นลำแสงสีม่วง หรือแสงสีส้ม ใช้ในการฆ่าเชื้อโรคที่ผิวหน้า (Gemicidal effect) เพิ่มการหมุนเวียนของเลือดที่บริเวณนั้น (Increased circulation) ช่วยกำจัดของเสียออกไป (removal waste product)
2.Vacuum
เป็นเครื่องมือที่ใช้ดูด (Suction) หัวสิวหรือไขมันที่อยู่ในรูขุมขน ช่วยกำจัดไขมันอุดตันที่เป็นสาเหตุของสิว
3.Steaming with Ozone
เป็นเครื่องพ่นไอน้ำ-โอโซนที่ผิวหน้าใช้เพื่อช่วยขยายรูขุมขน (Relaxing pores) ทำให้กำจัดไขมันในรูขุมขนได้ง่ายขึ้น ลดความมันบนใบหน้า (Reducing Oilness) และช่วยกำจัดของเสียออกไป ใช้ในการฆ่าเชื้อโรคที่ผิวหน้า
การฉีดสิว
เป็นการฉีดยาที่สิวโดยตรง (Intraletional Corticosteroid) เป็นยาจำพวกสเตียรอยด์ (Steroid suspension) ยาจะออกฤทธิ์ลดการอักเสบอย่างรวดเร็ว สิวมักจะหายหลังจากฉีดยาประมาณ 5-10 วัน แพทย์มักจะเลือกฉีดเฉพาะสิวขนาดใหญ่ ไม่มีหัวหนองและอักเสบอยู่นาน
การรักษาแผลเป็นที่เกิดจากสิว
1.รอยด่างดำ
เกิดจากปฏิกิริยาการอักเสบของเนื้อเยื่อรอบๆ หัวสิว มักเกิดขึ้นเนื่องจากสิวมีการติดเชื้อหรือมีขนาดใหญ่ อักเสบอยู่นานกว่าจะหาย การรักษาคือปล่อยทิ้งไว้อาจหายได้เองแต่ใช้เวลานานหลายเดือน หรือ ทายาที่ใช้ในการรักษาฝ้า กระ เพื่อให้หายเร็วขึ้น ส่วนมากมักไม่มีร่องรอยเหลืออยู่
2.รอยบุ๋ม
มักเกิดในคนที่มีสิวเห่อ เป็นหนองและอักเสบอยู่นาน หรือบีบเค้นหัวสิวเป็นประจำ ทำให้เนื้อเยื่อรอบๆ หัวสิวช้ำ ละอักเสบมากถึงหนังแท้ เมื่อหายแล้วจึงเกิดเป็นรอยบุ๋ม ผิวหน้าขรุขระไม่เรียบ การเกิดแผลเป็นชนิดนี้ไม่สามารถหายเองได้ การรักษาก็ยุ่งยาก ค่าใช้จ่ายก็สูง และผลที่ได้ก็ไม่ดีนัก
3.รอยนูน
แผลเป็นชนิดนี้เกิดนี้เกิดเฉพาะบางคนเท่านั้น ไม่ใช่แต่เฉพาะเป็นแผลที่เกิดจากสิวเท่านั้น แต่แผลชนิดอื่นก็เกิดขึ้นได้ เช่น ปลูกผี แผลผ่าตัด แผลถลอก ฯลฯ แผลเป็นเหล่านี้จะค่อยๆนูนมากขึ้นเรื่อยๆและบางทีอาจมีอาการคันร่วมด้วย การักษาก็ดดยการฉีดยาจำพวกสเตียรอยด์เข้าไปที่แผลโดยตรง อาจต้องฉีดซ้ำหลายๆครั้ง ขึ้นอยู่กับว่าแผลมีขนาดใหญ่แค่ไหน ยาสามารถทำให้แผลเป็นยุบตัวลง แต่ก็ยังเห็นมีร่องรอยของแผลเป็นอยู่
การขัดผิว (Dermabrasion)
โดยใช้เครื่องมือที่ชื่อว่า Dermabrader ขูดผิวหนังชั้นบน (Epidermis) และบางส่วนของชั้นหนังแท้ (Dermis) กขึ้นอยู่กับว่าจะขูดลึกมากแค่ไหน ใช้ในการรักษาแผลเป็น รอบบุ๋มที่เกิดจากสาเหตุต่างๆ เช่น แผลเป็นจากสิว แผลเป็นอุบัติเหตุ แผลเป็นจากโรคอีสุกอีใส ฯลฯ แผลเป็นไม่ลึกมากจะได้ผลดีกว่าชนิดลึก ซึ่งต้องทำหลายๆครั้ง วิธีนี้มีข้อห้ามในคนที่มีเนื้อร้ายหรือเป็นมะเร็ง เพราะจะทำให้แพร่กระจายได้ หรือบริเวณที่ขาดเลือด เช่น บริเวณที่เคยฉายแสงมาก่อน หลังจากขูดผิวแล้วอาจเกิดผลข้างเคียงตามมาได้ เช่น ผิวหนังบริเวณที่ขูดเกิดสีดำคล้ำ (Hyperpigmentation) หรือเกิดแผลเป็นชนิดนูนได้
การฉีดคอลลาเจน (Collagen Implantation)
เป็นการฉีดคอลลาเจน Purified pepsin-solubilized ,bovine dermal collagen โดยฉีดที่ใต้ผิวหนังบริเวณที่เป็นรอยบุ๋ม รอบบุ๋มที่ตื้นๆจะได้ผลดี แต่บางคนอาจมีการแพ้ได้ ดังนั้นควรจะมีการทดสอบก่อนที่จะฉีด
การรักษาสิวโดยใช้เครื่องมือต่างๆ ร่วมกับการใฝช้ยารับประทานและยารักษาสิว จะช่วยให้สิวยุบหายเร็วขึ้น ควรทำอย่างต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์ การรักษาสิวต้องใช้ระยะเวลาอย่างน้อย 1-2 เดือนจึงจะได้ผลดี ดังนั้นหากคุณเป็นสิวพยายามรักษาอย่างต่อเนื่องก็จะสามารถหายได้ หมั่นไปพบแพทย์เพื่อตรวจสภาพผิวหน้าและตรวจดูว่าตอบสนองยาดีหรือไม่ หรือปรับเปลี่ยนยาตามความเหมาะสม แต่หากรักษาไม่ต่อเนื่อง ขาดยา หรือเปลี่ยนยา หรือทดลองซื้อยาไปใช้เรื่อยๆ ก็จะทำให้สิวหายช้า ทำให้เชื้อโรคดื้อยา หรือต้องใช้ยาขนานอื่นแทน