สารกันแดด
แสงแดดกับผิวหนังเป็นของคู่กัน ผิวหนังเป็นอวัยวะที่ห่อหุ้มร่างกาย เป็นปราการด่านแรกที่ต้องเจอกับแสงแดด ในแสงแดดมีรังสีอุลตราไวโอเลต (Ultraviolet ray) ซึ่งทำให้เกิดปฏิกิริยาต่างๆ มากมาย ทั้งที่เป็นผลดีและที่เป็นผลเสียกับผิวหนัง ถ้าได้รับแสงแดดจัดมากอาจเกิดอาการแดง (Erythrema) หรือเกิดอาการที่เรียกว่า ถูกแดดเผา (Sunburn) ซึ่งเป็นการทำงายเซลล์หนังกำพร้าชั่วคราว แต่หากถูกแสงแดดเป็นระยะเวลานานๆ จะทำให้ผิวหนังหนา หยาบกร้านมากขึ้นและทำให้ผิวหนังมีสีคล้ำ (Tanning) ขึ้นได้ เนื่องจากการที่แสงแดดกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสีที่ผิวหนังให้สร้างเม็ดสี (Melanin pigment) เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้รังสีอุลตร้าไวโอเลต อาจทำให้เกิดโรคมะเร็งที่ผิวหนังได้ โดยเฉพาะในคนผิวขาวจะมีโอกาสเกิดโรคมะเร็งผิวหนังมากกว่าคนผิวดำ เนื่องจากคนผิวดำจะมีผิวหนังหนาและมี เมลานินมากกว่า จึงทำให้ป้องกันรังสีจากแสงแดด ได้มากกว่า
ดังนั้นจึงควรปกป้องผิวจากแสงแดดให้มากที่สุด โดยหลีกเลี่ยงการตากแดด หรือ สวมใส่เสื้อผ้าให้มิดชิด ในปัจจุบันได้มีการผลิตสารที่ช่วยป้องกัน รังสีอุลตราไวโอเลต ที่เรียกว่า ผลิตภัณฑ์กัน แดด ใช้ทาผิวหนังเพื่อป้องกัน รังสีอุลตราไวโอเลต ได้
ประเภทของสารกันแดด
แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
1. กลุ่มสะท้อนแสง (Protection by Reflection)
สารในกลุ่มนี้เป็นสารกันแดดซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวสะท้อนแสง (Physical barrier) ป้องกันไม่ให้รังสี (UV) ผ่านผิวหนังได้ สารเหล่านี้ได้แก่ Titanium dioxide ,Zinc oxide ,Magnesium carbonate ,Calcium carbonate ,Iron oxide ,Magnesium oxide เป็นต้น
เนื่องจากสารกลุ่มนี้เป็นสารทีมีสีทึบและมีคุณสมบัติในการป้องกันรังสีทุกชนิด (ตั้งแต่ช่วงคลื่น 290 – 760 nm.) เมื่อรังสีอุลตร้าไวโอเลตตกกระทบจะถูกสะท้อนออกหมด ดังนั้นจึงสามารถใช้เป็นสารป้องกันแดดเผาได้
2. กลุ่มดูดซับแสง (Protection by Absorption)
สารประเภทนี้จะสามารถดูดกลืนรังสี อุลตร้าไวโอเลตไว้ได้ บางชนิดดูดกลืนได้เฉพาะรังสี UVA หรือ UVB อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่บางชนิดสามารถดูดกลืนได้ทั้ง UVA และ UVB
– Suntanning agents เป็นสารกันแดดที่สามารถดูดกลืนรังสี UVB ได้ประมาณ 85% และสามารถปล่อยรังสี UVA ผ่านผิวหนังได้ จึงทำให้ผิวเป็นสีแทน จึงใช้ทาเพื่อเปลี่ยนสีผิวเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นยาทากันแดด
– Sunburn preventive agents เป็นสารกันแดดที่มีประสิทธิภาพในการดูดกลืนรังสี UVB ได้ประมาณ 95% หรือมากกว่า
สารทั้ง 2 กลุ่มนี้อาจจะเป็นสารคนละตัวหรือสารตัวเดียวกันก็ได้ ถ้าเป้นสารตัวเดียวกันที่สามารถป้องกันได้ทั้ง UVA และ UVB มักจะใช้ความเข้มข้นสูงเพื่อใช้เป็น Sunburn preventive agents แต่หากใช้ในความเข้มข้นต่ำจะกลายเป็น Suntanning agents ได้
– Opaque sunblock agents เป็นสารกันแดดที่ทำหน้าที่เป็นตัวสะท้อนแสง เนื่องจากเป็นสารที่ทึบแสง รังสีทุกชนิดที่มากระทบจะถูกสะท้อนออกหมด จึงเป็นได้ทั้ง Sunburn preventive agents และ Suntanning agents ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสารนั้น
ตารางแสดงสารเคมีที่ใช้เป็นสารกันแดดทั่วๆไป
ชนิดของสาร | ชื่อ | % ความเข้มข้นสูงสุดที่อนุญาต * |
สารที่ดูดกลืน UVA (UVA absorbers) |
– Sulisobenzone | 5-10% |
– Oxybenzone | 2-6% | |
– Dioxybenzone | 3% | |
– Menthyl anthranilate | 3.5-5% | |
สารที่ดูดกลืน UVB (UVB absorbers) |
– Aminobenzoic acid | 5-15% |
– Amyl dimetyl PABA | 1-5% | |
– 2-Ethoxyethyl p-methoxy cinnamate | 1-3% | |
– Diethanolamine p-methoxy cinnamate | 8-10% | |
– Digalloyl trioleate | 2-5% | |
– Ethyl 4-bis (hydroxypropyl) amino benzene | 1-5% | |
– 2-Ethylhexyl-2-cyano-3 , 3-Diphenylancrylate | 7-10% | |
– Ethylhexyl p-methoxy cinnamate | 2-7.5% | |
– 2-Ethylexyl salicylate | 3-5% | |
– Glyceryl aminobenzoate | 2-3% | |
– Homomethyl salicylate | 4-15% | |
– Lawsone with dihydroxyacetone | 0.25% | |
– Octyl dimethyl PABA | 1.4-8% | |
– 2-Phenylbenzimidazole-5-sulfonic acid | 1.4% | |
– Triethanolamine salicylate | 5-12% | |
สารสะท้อนแสง | – Red petrolatum | 30-100% |
– Titanium dioxide | 2-2.5% |
* เป็นปริมาณสารที่องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA/USA) อนุญาตหรือรับรองให้ใช้
จุดประสงค์ของการใช้สารกันแดด
1.ป้องกันแสงแดดและการเกิดฝ้า กระและรอยด่างดำ
2.ป้องกันผิวจาการถูกแดดเผา
3.ป้องกันโรคมะเร็งผิวหนัง
โดยมากแล้วผลิตภัณฑ์กันแดดหรือเครื่องสำอางกันแดดมักจะมีสารกันแดดประกอบอยู่ด้วยกันหลายชนิด เพื่อให้ผลิตภัณฑ์นั้นมีคุณสมบัติป้องกันรังสี ทั้ง UVA และ UVB และเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสีอุลตร้าไวโอเลตได้มากที่สุดคือ มีค่า SPF สูงนั่นเอง
Sun Protection Factor (SPF)
ค่า SPF คือ ค่าของประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์กันแดดชนิดนั้นๆ ตัวเลขที่แสดงค่า SPF นั้นได้จากอัตราส่วนของระยะเวลาที่ผิวหนังได้รับแสงแดดระหว่างผิวที่ทาสารกันแดดกับผิวที่ไม่ได้ทาสารกันแดดแล้วเกิดอาการแดงน้อยที่สุด
SPF = ระยะเวลาของผิวหนังที่ได้รับแสงแดดแล้วเกิดอาการแดงเมื่อทาสารกันแดด
ระยะเวลาของผิวหนังที่ได้รับแสงแดดแล้วเกิดอาการแดงเมื่อไม่ได้ทาสารกันแดด
= Protected Minimum Erythema Dose
Unprotection Minimum Erythema Dose
= Protected Med
Unprotected Med
ดังนั้น หากสารกันแดดชนิดที่มีค่า SPF เท่ากับ 15 ก็หมายความว่า เมื่อทาสารกันแดดชนิดนี้แล้วสามารถทนแดดได้นานมากกว่าเดิม 15 เท่า
คนที่มีสีผิวต่างกันจะมีช่วงเวลาที่ทำให้เกิดอาการแดงเมื่อถูกแสงแดดแตกต่างกัน คนผิวขาวเมื่อถูกแสงแดด จะเกิดอาการแดงง่ายกว่า คนที่มีผิวคล้ำ ดังนั้นคนผิวคล้ำอยู่แล้ว อาจจะใช้สารกันแดดที่มีค่า SPF 6-14 ก็พอ ในขณะที่คนผิวขาว หรือคนที่เป็น กระหรือรอยด่างดำ ควรทาสารกันแดดที่มีค่า SPF เท่ากับ 15 หรือ มากกว่านั้น
ตารางแสดงการแบ่งชนิดผิวสารใช้ยากันแดด
ผิวแบบที่ | ความไวต่อแสงอุลตร้าไวโอเลต | ประวัติผิวไหม้และคล้ำจากการตากแดด | ครีมกันแดดที่แนะนำ (SPF) |
1 | ไวมากที่สุด | ผิวไหม้ง่าย ไม่เคยคล้ำ | > 10 |
2 | ไวมากที่สุด | ผิวไหม้ง่าย คล้ำเล็กน้อย | > 10 |
3 | ไวมาก | ผิวไหม้ปานกลาง ค่อยๆคล้ำ เป็นคนผิวสีน้ำตาลอ่อน |
8-10 |
4 | ไวปานกลาง | ผิวไหม้เล็กน้อย คล้ำง่าย เป็นคนสีผิวน้ำตาลปานกลาง |
6-8 |
5 | ไวเล็กน้อย | ไม่ไคร่ไหม้ คล้ำเร็วมาก เป็นคนผิวสีน้ำตาลแก่ |
4 |
6 | ไม่ไว | ไม่เคยไหม้ เป็นคนผิวดำ | ไม่จำเป็น |
การเลือกใช้ยากันแดด
1. สามารถป้องกันรังสีทั้ง UVA และ UVB
สารกันแดดชนิดที่ดูดซึมแสง จะใสไม่มีสี เมื่อทาแล้วจะมองไม่เห็น แต่ถ้าเป็นชนิดสะท้อนแสง เมื่อทาแล้วจะเห็นเป็นปื้นหนา จึงไม่เป็นที่นิยมใช้กัน แต่คนที่แพ้แสงแดดมาก จำเป็นจะต้องใช้สารกันแดดที่มีสารสะท้อนแสงด้วย เพื่อลดปริมาณ รังสีอุลตร้าไวโอเลตที่ผิวหนัง
2. ต้องติดผิวหนังได้ดี
ไม่เป็นสารที่ระเหยและไม่ควรละลายน้ำ (Water proof) หรือ ทนต่อการชะล้างของน้ำหรือเหงื่อได้ดี ควรทายากันแดดอย่างน้อย 1 ชม. ก่อนถูกแดดจึงจะได้ผลดีที่สุด
3. เหมาะสมกับผิว
สารกันแดดมีหลายชนิด เช่น ครีม โลชั่น เจล บางชนิดมีส่วนผสมของแอลอกฮอล์ (Alcohol) คนที่มีผิวค่อนข้างมันหรือเป็นสิว ควรเลือกใช้สารกันแดดที่เป็นโลชั่นหรือเจล มากกว่าครีม เพราะจะไม่เหนียวเหนอะหนะ ส่วนคนที่ผิวแห้งควรใช้ครีมกันแดด จะเหมาะกว่าเพราะครีมจะมีส่วนที่เป็นน้ำมันช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้นด้วย และไม่ควรใช้สารกันแดดที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เพราะจะทำให้ผิวแห้งมากขึ้นได้
4.ไม่เป็นพิษ
ไม่ระคายเคือง หรือเกิดอาการแพ้ สารกันแดดที่มีสารจำพวก PABA มีโอกาสแพ้ได้มากกว่า กลุ่ม non-PABA สารที่ปะปนมากับสารกันแดด อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ เช่น สี ,น้ำหอม ,Mineral oil ,Petrolatum ,Isopropyl esters ,Lanolin derivertives ,Waxes ,Thickerners ฯลฯ
ก่อนใช้สารกันแดด ควรทดลองใช้บางบริเวณก่อน เช่น บริเวณ ใต้ท้องแขน ใต้คาง เป็นต้น