เครื่องสำอาง
เครื่องสำอางมีส่วนในการเสริมบุคลิกและความงามได้อย่างมาก ทำให้ใบหน้าธรรมดากลับสวย และมีเสน่ห์น่ามองมากขึ้นได้ นอกจากนี้เครื่องสำอางยังสามารถแก้ไขปกปิดหรืออำพรางส่วนบกพร่องให้ดูกลมกลืนไม่เด่นชัดได้
ในปัจจุบันบิษัทผู้ผลิตส่วนใหญ่เริ่มมีการพิถีพิถันในการผลิตเพิ่มมากขึ้น มีการทดสอบเกี่ยวกับความปลอดภัย การแพ้สารต่างๆหลีกเลี่ยงสารพิษที่จะทำให้ไม่ปลอดภัยกับผู้ใช้และสิ่งแวดล้อม ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจเลือกซื้อเครื่องสำอางชนิดต่างๆ คุณควรมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับเครื่องสำอางชนิดนั้นๆ ให้ดีเสียก่อน
เครื่องสำอาง คืออะไร
เครื่องสำอาง คือ สิ่งต่างๆ ที่ใช้ทา พ่น พอก เช็ด ขัดถู หรือ ประพรม ตามส่วนต่างๆของร่างกาย เพื่อจุดประสงค์หลายประการ คือ
1. เพื่อทำความสะอาดผิว
2. ปกป้องผิวจากภายนอก
3. เพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิว
4. เพื่อเพิ่มเสน่ห์และความพึงพอใจให้กับผู้ใช้
คำแนะนำในการเลือกซื้อเครื่องสำอาง
1.ราคาแพง
การเลือกซื้อเครื่องสำอางคุณภาพดีแต่ราคาย่อมเยา ย่อมดีกว่าการเลือกซื้อเครื่องสำอางที่มีราคาแพงแต่คุณภาพพอๆกัน
2.คำโฆษณา
3.ของเก่า เลหลัง ขายถูก
บางคนมีค่านิยมซื้อของถูก ที่ไหนมี สินค้าเลหลัง ติดป้ายลดราคา Sale ก็รุมเข้าไปซื้อ บางครั้งก็เป็นของดี บางครั้งก็เป็นของเก่า ค้างเก็บมาหลายปี ดังนั้นก่อนซื้อ ควรสังเกตว่าคุณภาพยังดีเหมือนเดิมหรือไม่ สภาพแข็งหรืออ่อนไป มีสีเปลี่ยนไป หรือมีรูปร่างเปลี่ยนไปจากเดิม
4.ใช้แล้ว ไม่แพ้
เครื่องสำอางในปัจจุบัน มักจะเขียนสรรพคุณต่างๆ และพ่วงท้ายว่าไม่แพ้ หรือมีโอกาสแพ้น้อย ถึงอย่างไรก่อนใช้ ก็ควรทดสอบบางบริเวณเสียก่อน
5.ใช้แล้ว ไม่ทำให้เกิดสิว
ความเป็นจริงคนที่ใช้เครื่องสำอาง บางคนก็อาจจะมีสิวหรือไม่มีสิวก็ได้ เนื่องจากมาตราฐานในการทดสอบ ไม่ได้อยู่ในสภาวะเดียวกัน บางยี่ห้อได้ทดสอบ บางยี่ห้อก็ไม่ได้ทดสอบ
6.ไม่ใส่น้ำหอม หรือไม่ใส่กลิ่น
7. เครื่องสำอางจากธรรมชาติ
ในอดีตเรื่องสำอางส่วนใหญ่จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากธรรมชาติเกือบทั้งหมด ทั้งนี้เนื่องจากความก้าวหน้าในการสังเคราะห์สารยังมีไม่มากนัก แต่ในปัจจุบันก็มีแนวโน้มที่จะกลับไปใช้สารจากธรรมชาติอีก เนื่องจากเริ่มมีการค้นพบว่า สารสังเคราะห์หลายๆชนิด มีโอกาสทำให้เกิดการระคายเคืองและเป็นพิษได้
ส่วนประกอบหลักในเครื่องสำอาง
ในเครื่องสำอางแต่ละชนิดมักจะมีสารหลักเป็นองค์ประกอบอยู่ด้วยเสมอ ขึ้นอยู่กบว่าผู้ผลิตจะใช้สารใดในกลุ่มนั้นๆ ซึ่งอาจต้องคำนึงถึงความเข้ากันได้ของส่วนผสมอื่น คุณภาพของสารว่าจัดอยู่ในเกรดไหน คุณสมบัติตรงกับความต้องการหรือไม่ สีและกลิ่นเป็นอย่างไร และที่สำคัญที่สุดก็คือ ราคา เมื่อเลือกได้แล้วจึงผสมสารหลักต่างๆ ลงๆไปตามขั้นตอนของการทำเครื่องสำอางชนิดนั้นๆ สารหลักเหล่านั้นได้แก่
1. น้ำ (Water)
น้ำเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่ง ซึ่งมักจะใช้น้ำกลั่น เพื่อความบริสุทธิ์ ไม่มีสารเจือปน และปราศจากเชื้อโรคในเครื่องสำอางแต่ละชนิดจะมีน้ำเป็นส่วนประกอบไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ เช่น ครีมมีส่วนผสมเป็นน้ำและน้ำมัน อยู่ด้วยกัน โลชั่นก็คือครีมที่มีน้ำมากกว่า ถ้าเป็นโทนเนอร์ก็จะมีน้ำเป็นส่วนประกอบมากที่สุด
2.น้ำมัน (Oil)
ครีมทั่วไปจะมีน้ำมันหรือไขมันเป็นส่วนประกอบ ซึ่งจะมีมากน้อยแตกต่างกันไป ผลิตภัณฑ์ที่เขียนว่า oil-free นั้นจะมีส่วนที่เป็นน้ำมันน้อยแต่มีน้ำมาก ไขมันหรือน้ำมันจะประกอบไปด้วยกรดไขมัน ชนิดใดชนิดหนึ่งหรือหลายชนิด และกลีเซอรีน (Glycerine) ซึ่งกลีเซอรีนเป็นเสมือนสะพานเชื่อมระหว่างกรดไขมันทั้ง 2 ชนิด คือ กรดไขมันอิ่มตัว (Saturated fatty acid) และกรดไขมันไม่อิ่มตัว (Unsatureted fatty acid)
โดยทั่วๆ ไปแล้วถ้าไขมันหรือน้ำมันที่มีองค์ประกอบของ กรดไขมันไม่อิ่มตัวมากกว่าก็จะง่ายต่อการ Oxidation (การรวมตัวกับออกซิเจนในอากาศ) มากกว่าไขมันหรือน้ำมันที่มีองค์ประกอบของกรดไขมันไม่อิ่มตัวน้อยกว่า เมื่อเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นแล้วก็ทำให้เครื่องสำอางนั้นไม่คงตัว เกิดการเหม็นหืนได้จึงต้องมีการใส่สารกันบูด หรือ Antioxidants ลงไป
น้ำมันหรือไขมันที่เป็นส่วนประกอบในครีมบำรุงผิวนั้นก็เพื่อป้องกันการระเหยออกไปจากผิวหนัง การเลือกซื้อครีมที่เหมาะกับผิวก็ขึ้นอยู่กับชนิดของผิวแต่ละคน โลชั่นน่าจะเหมาะกับคนผิวมัน เนื่องจากมีส่วนที่เป็นน้ำมันน้อย ส่วนคนที่ผิวแห้งหรือตอนหน้าหนาวผิวแห้งก็อาจลองเปลี่ยนมาใช้ครีมแทน น้ำมันหรือไขมันไม่สามารถดูดซับลึกลงไปใต้ผิวหนังได้ ไม่ว่าน้ำมันนั้นจะเอามาจากพืชหรือสัตว์ หรือแม้ว่าจะมีราคาสูงก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้
ครีมที่ดีควรจะเนื้อครีมเรียบเนียน เมื่อนำมาทาแล้วไม่เหนียวเหนอะหนะ ไม่เสียหรือเปลี่ยนสภาพง่าย และที่สำคัญที่สุดใช้แล้วต้องไม่เกิดการระคายเคืองหรือทำให้เกิดการแพ้
3.สารที่ทำให้ข้น (Consistance)
น้ำกับน้ำมันเป็นสิ่งที่เข้ากันไม่ได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีสารที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างน้ำกับน้ำมัน ให้อยู่ด้วยกันได้ สารนั้นเรียกว่า Emulsifier ซึ่งเป็นตัวทำให้ข้น ผลิตภัณฑ์ต่างๆจำเป็นต้องมีสารนี้ เช่น Lactin ,Isopropyl lanolate ,Isopropyl myristate ,Cocoa butter ฯลฯ
4.สารที่ทำให้ลื่น (Emollient)
เป็นสารที่ทำให้ส่วนผสมอื่นๆ ให้เกลี่ยหรือซึมได้ทั่วผิวหนัง สารที่ทำให้ลื่นมีหลายชนิด เช่น Propylene glycol ,Butylene glycol ,Polysorbates , Polypropylene glycol เป็นต้น
5.สารดูดซับน้ำ (Huemactant)
เป็นสารที่ทำให้ผิวรักษาน้ำไว้ได้ ทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น ไม่แห้งกร้าน สารเหล่านี้มีหลายชนิด เช่น Hyaluronic acid ,NaPCA ,Collagen ,Elastin ,Prtein ,Amino acid ฯลฯ สารเหล่านี้เป็น Moisturizer ที่ดีสำหรับผิว แต่ไม่สามารถซึมเข้าไปในผิวหนังได้
6.สารกันเสีย (Preservative) และสาร Antioxidant
ในการผลิตเครื่องสำอางต่างๆ ความสะอาดเป็นสิ่งสำคัญมากทุกขั้นตอนของการผลิตและภาชนะที่บรรจุ ต้องสะอาดปราศจากเชื้อจุลินทรีย์ ซึ่งจะทำให้ผลิตภัณฑ์เสียหรือบูดได้ง่าย แม้กระทั่งการนำมาใช้ หากมือหรืออุปกรณ์ที่นำมาใช้ร่วมกับเครื่องสำอางไม่สะอาด ก็จะทำให้เสียเร็ว ดังนั้นในเครื่องสำอางส่วนใหญ่จึงจำเป็นต้องใส่สารกันเสียเพื่อยืดอายุผลิตภัณฑ์นั้นให้นาขึ้น ยกเว้นเครื่องสำอางที่ทำใช้เองปริมาณไม่มาก นำใส่ตู้เย็นก็สามารถใช้ได้ประมาณ 2-3 สัปดาห์ แต่หากต้องการให้อยู่ได้นานกว่านั้นก็จำเป็นต้องใส่สารกันเสียเช่นกัน
การใส่สารกันเสียมีจุดประสงค์หลัก 2 ประการคือ
1. เพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ต่างๆ
2. เพื่อป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น เรียกสารชนิดนี้ว่า Antioxidants
ตัวอย่างสารเหล่านี้
Ascorbyl palmitate ,Butylated hydroxyanisole (BHA) ,Butylated hydroxtoluene (BHT) Chlorobutanol ,Ethylenediamine ,Monothioglycerol ,Potassium sorbate ,Propylparaben ,Sassafras oil ,Sodium benzoate ,Sodium bisulfite ,Sodium formaldehyde ,Sulfoxylate ,Sodiummetabisulfite ,Sorbic acid ,Sulfur dioxide ,Thimerosal ,Ethylparaben ,Ethyl vanillin ,Glycerine ,Methylparaben ,Phenol ,Phenyl ethyl alcohol ,Phenyl mercuric nitrate heliozimt K,Aqua conservan ,Kalliumsorbate ,Antiranz เป็นต้น
สารที่นิยมใช้ในเครื่องสำอาง เช่น Butylated hydroxyanisole (BHA) ,Butylated hydroxytoluene (BHT) ,Parabens ,Sodium bisulfate ,Soidummetabisulfate ซึ่งล้วนเป็นสารสังเคราะทั้ง
หมด ส่วนสารที่มาจากธรรมชาติ เช่น Sassafras oil ,Ethyl vanillin ,Heliozimt K ,Aqua conservan ,Kalliumsorbat ,Antiranz เป็นต้น
สารกันเสียที่ใช้ในเครื่องสำอางทำให้เกิดการระคายเคืองหรือการแพ้ได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับชนิดและความเข้มข้นของสารนั้น
7.น้ำหอม (Perfume)
น้ำหอมเป็นสิ่งจำเป็นอย่างหนึ่งในการผลิตเครื่องสำอางค่อนข้างมาก ผลิตภัณฑ์เกือบทุกชนิดมีการใส่น้ำหอม เพื่อให้มีกลิ่นหอมน่าใช้และเป็นเอกลักษณ์ การใช้น้ำหอมรู้จักกันมานานในอียิปต์มากกว่า 4000 ปี ซึ่งล้วนมาจากธรรมชาติแต่ในปัจจุบันได้มีการสังเคราะห์สารหอมกลิ่นเลียนแบบธรรมชาติและกลิ่นแปลกๆ ใหม่ๆ มากมาย
น้ำหอมแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด คือ
1. Natural perfume เป็นน้ำหอมที่ได้จากธรรมชาติ
2.Nature identic perfume หมายถึงน้ำหอมที่มีส่วนประกอบและกลิ่นเหมือนกับน้ำหอมที่ได้จากธรรมชาติ
3.Perfume synthetic คือน้ำหอมกลิ่นสังเคราะห์ที่ไม่เหมือนกลิ่นน้ำหอมที่ได้จากธรรมชาติ
ผลิตภัณฑ์น้ำหอมมักเกิดการแพ้หรือการระคายเคืองได้บ่อยกว่าผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใส่น้ำหอม ที่เรียกว่า Hypoallergic cosmetics หรือ Perfume free cosmetics ความจริงแล้วน้ำหอมไม่ได้มีส่วนในการออกฤทธิ์ใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่ให้กลิ่นหอมเท่านั้น ดังนั้นหากคุณมีผิวที่แพ้ง่าย ก็ควรหลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่มีน้ำหอมดีกว่า เพราะนอกจากจะทำให้ไม่เกิดการแพ้แล้ว คุณภาพยังเหมือนเดิม ไม่ได้ด้อยไปกว่าเครื่องสำอางที่มีน้ำหอมแต่อย่างใด และที่สำคัญเครื่องสำอางที่ไม่มีน้ำหอมน่าจะมีราคาถูกกว่า เนื่องจากน้ำหอมทั่วไปส่วนใหญ่มักจะมีราคาแพง
8.สี (Color)
เป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งในการผลิตเครื่องสำอางบางชนิดเพื่อให้เกิดความแตกต่างของผลิตภัณฑ์เท่านั้น เช่น สบู่บางยี่ห้อที่มีหลายสี เพื่อบอกความแตกต่างของการใช้ เช่น สีเหลืองสำหรับผิวมัน สีชมพูสำหรับผิวแห้ง หรือสีเขียวสำหรับผิวธรรมดา ซึ่งสีเหล่านี้ไม่ได้มีส่วนสำคัญในการใช้แต่อย่างใด แต่ในเครื่องสำอางบางชนิดสีเป็นองค์ประกอบที่สำคัญมาก เช่น แป้งผัดหน้าที่มีเนื้อโทนต่างๆ ลิปสติก อาย์แชโดว์ ดินสอสีเขียนคิ้ว หรือน้ำยาโกรกสีผม เป็นต้น
คุณสมบัติของสีที่ดีในเครื่องสำอางต่างๆ
– ต้องไม่เป็นพิษกับผู้ใช้
– ต้องไม่ทำให้เกิดการะคายเคืองหรือการแพ้
– มีความคงทนดี ไม่จืดจางหรือเปลี่ยนสีได้ง่าย
– ราคาไม่แพง
สีมี 2 แบบ คือ สีที่ได้จากธรรมชาติและสีสังเคราะห์ สีที่ได้จากธรรมชาติดูเหมือนปลอดภัยและจะน่าใช้มากกว่าสีจากการสังเคราะห์ แต่อย่างไรก็ตามสีที่ได้จากธรรมชาติมีข้อจำกัดค่อนข้างมาก ปัจจุบันเครื่องสำอางส่วนใหญ่จึงมักจะใช้สีสังเคราะห์แทน ดังนั้นยิ่งเครื่องสำอางที่ใส่สีมากเท่าใด ก็ย่อมมีโอกาสแพ้ได้มากเท่านั้น ดังนั้นจึงควรระมัดระวังในการเลือกซื้อเครื่องสำอางที่มีสี เพื่อปลอดภัยจึงควรหลีกเลี่ยงและเลือกใช้เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีสี จะเป็นการดี ที่สุด
คำแนะนำในการเลือกใช้เครื่องสำอาง
1. เครื่องสำอางเป็นสิ่งแปลกปลอมสำหรับร่างกาย
เครื่องสำอางเป็นสิ่งที่อยู่นอกร่างกาย การที่ร่างกายเกิดปฏิกิริยาที่เรียกว่า อาการแพ้ ไม่ว่าจะเป็นอาการคัน ผด ผื่น ฯลฯ นั่นก็แสดงว่าร่างกาย ปฏิเสธ ไม่ต้องการ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ควรระมัดระวังในการใช้ หรือถ้าไม่จำเป็นก็เลิกใช้ไปเลย เป็นการประหยัดอีกด้วย
2.ป้องกันการปนเปื้อนเชื้อโรค
– ก่อนใช้เครื่องสำอางควรล้างมือให้สะอาดเสียก่อน ทำให้เครื่องสำอางเสื่อมหรือเสียเร็วขึ้น และยังทำให้เกิดการติดเชื้อบริเวณที่ใช้เครื่องสำอางด้วย
– หลังจากใช้เครื่องสำอางแล้ว ควรปิดฝาหรือจุกให้มิดชิด เพื่อป้องกันการระเหยหรือการปนเปื้อนของเชื้อโรค
– แบ่งเครื่องสำอางที่จะใช้ให้พอดี ในแต่ละครั้ง หรือหากเทออกมาใช้แล้วเหลือก็ควรทิ้งไป ไม่ควรเทกลับไปรวมกันใหม่ เพราะจะทำให้มีเชื้อโรคปนเปื้อนลงไป ทำให้เครื่องสำอางเสื่อมเร็วขึ้น
– ไม่ควรใช้เครื่องสำอางร่วมกับผู้อื่น หรือใช้เครื่องสำอางที่มีทดลองตามร้าน
3.สุขภาพต้องมาก่อน
หลีกเลี่ยงการกระทำที่ทำให้สุขภาพเสื่อมโทรม เช่น นอนดึก ทำงานหนัก สูบบุหรี่จัด อารมณ์เครียด ตากแดดเป็นประจำ ขี้โรค ฯลฯ สิ่งต่างๆเหล่านี้ก่อให้เกิดผลเสียต่อผิวพรรณ แม้ว่าเครื่องสำอางจะดีสักเท่าใด ก็ไม่อาจกลบเกลื่อนร่องรอยเหล่านี้ไปได้ อย่าลืมใส่ใจกับสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ
4.การยืดอายุเครื่องสำอาง
โดยปกติเครื่องสำอางทุกชนิดมักจะใส่สารกันเสียหรือกันบูดเสมอ เพื่อยืดอายุให้ใช้ได้นานขึ้น แต่ถึงอย่างไรก็ทีโอกาสเสียหรือหมดอายุก่อนวันที่ระบุไว้ได้ โดยเฉพาะเครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบจากสารธรรมชาติมากๆ อายุการใช้งานมักจะสั้นกว่า ดังนั้นจึงควรเก็บรักษาเครื่องสำอางอย่างถูกต้อง อย่าปล่อยให้เครื่องสำอางถูกความร้อนจัดหรือเย็นจัด เพราะจะทำให้เครื่องสำอางเสื่อมเร็วขึ้น
5.ทดสอบให้แน่ใจก่อนใช้เครื่องสำอาง
ไม่ว่าจะแพงขนาดไหน จะซื้อมาจากประเทศใดก็ตาม ต่อให้ระบุว่า ไม่ทำให้เกิดอาการแพ้ ก็ตามคุณก็มีโอกาสที่จะแพ้ได้ ดังนั้นก่อนใช้เครื่องสำอางชนิดหรือยี่ห้อใหม่ ที่ไม่เคยใช้มาก่อน ควรทดสอบบางบริเวณก่อน เช่น หลังหู ท้องแขน เป็นต้น อย่าทา หรือพอกเป็นบริเวณกว้าง เพราะถ้าสารนั้นเป็นพิษต่อร่างกายก็จะทำให้ได้รับในปริมาณมากทำให้ยากต่อการแก้ไข หรือทำให้เกิดอาการรุนแรงมาก
6.อย่าซื้อเพราะคำโฆษณา
การโฆษณามีไว้เพื่อขายผลิตภัณฑ์ ยิ่งโฆษณามากเท่าไร ก็ยิ่งขายดีมากเท่านั้น ยิ่งนางแบบสวยมากเท่าก็ยิ่งขายดีมากขึ้น เท่านั้น อย่าไปสนใจคำโฆษณามากเกินไป หากคุณต้องการจะซื้อเครื่องสำอางสักชิ้น ลองพลิกไปดูรายละเอียดที่ระบุไว้ แล้วคุณจะรู้ว่าสิ่งที่โฆษณานั้นเป็นจริงหรือเท็จอย่างไร เหมาะสมที่จะนำมาซื้อหรือไม่
7.ฝันเฟื่องเรื่องความสวย
มีหลายคนคิดว่า เครื่องสำอางสามารถจะเนรมิตผิวให้สวยหรือกลายเป็นสาวสองพันปี ไปตลอดการได้ ตามคำโฆษณาสรรพคุณต่างๆ ที่เลิศเลอเกินความเป็นจริง ความเชื่อเช่นนั้นทำให้เครื่องสำอางประเภทนี้ ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เพราะใครๆก็กลัวแก่ เป็นการขายความฝันมากกว่า ยังไงเครื่องสำอางก็เป็นเครื่องสำอางอยู่ดี ไม่ใช่เป็นยาวิเศษ ดังนั้นการเลือกเครื่องสำอางที่ดีที่สุด คือการเลือกให้เหมาะกับผิวของคุณไม่ทำให้เกิดการแพ้ ไม่แพงจนเกินไป และที่สำคัญคือเมื่อใช้แล้วทำให้คุณดูดีขึ้นกว่าเดิม